จิตวิทยาสำหรับครู

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
พาฟลอฟ
 
 
ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
( Ivan Petrovich Pavlov )
ชื่อ อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ
เกิด 14 กันยายน ค.ศ.1849 ( 1849-09-14 ) รีซาน , จักรวรรดิรัสเซีย
เ สียชีวิต 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1936 (อายุ 86 ปี) เลนินกราด , สหภาพโซเวียต
สาขาวิชา สรีวิทยา , จิตวิทยา , แพทย์
ผลงาน การวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม Transmarginal.inhibition การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เกียรติประวัติ รางวัลโนเบลสาขาสรีวิทยา หรือการแพทย์ ( ค.ศ.1904 )
 
การทดลอง
 
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
พาพลอฟ เชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเกิดจากการวางเงื่อนไข กล่าวคือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมักมีเงื่อนไขหรือสถานการณ์เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพปกติหรือในชีวิตประจำวันการตอบสนองเช่นนั้นอาจไม่มี เช่น กรณีสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งและน้ำลายไหล เสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้าที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข พาพลอฟ เรียกว่า สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข และปฏิกิริยาน้ำลายไหล เป็นการตอบสนองที่เรียกว่าการตอบสนองที่มีเงื่อนไข
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้คือ พาฟลอฟ (Pavlov) ทำการศึกษาทดลองกับสุนัข โดยฝึกสุนัขให้ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงในห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย การทดลองแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข ระหว่างการวางเงื่อนไข และหลังการวางเงื่อนไข
ขั้นที่ 1 เสียงกระดิ่ง (CS) ไม่มีน้ำลาย ผงเนื้อ (UCS) น้ำลายไหล (UCR)
ขั้นที่ 2 เสียงกระดิ่ง น้ำลายไหล (UCR) และผงเนื้อ (UCS) ทำขั้นที่ 2 ซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง
ขั้นที่ 3 เสียงกระดิ่ง (CS) น้ำลายไหล (CR)

การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคคือการตอบสนองที่เป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อนำสิ่งเร้าใหม่มาควบคู่กับสิ่งเร้าเดิม ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมการตอบสนองนี้ว่าพฤติกรรมเรสปอนเด้นท์

ภาพ แสดงผลการทดลอง
องค์ประกอบสำคัญในการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง จะต้องประกอบด้วยกระบวนการของส่วนประกอบ 4 อย่าง คือ
1. สิ่งเร้า เป็นตัวการที่ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา
2. แรงขับ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ต่อไป
3. การตอบสนอง เป็นปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่แสดงออกมาเมื่อได้รับการ กระตุ้นจากสิ่งเร้า
4. สิ่งเสริมแรง เป็นสิ่งมาเพิ่มกำลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองให้มีแรงขับเพิ่มขึ้น
กฎการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดลอง พาฟลอฟ ได้สรุปเป็นกฎ 4 ข้อคือ
1. กฎการลบพฤติกรรม
2. กฎแห่งการคืนกลับ
3. กฎความคล้ายคลึงกัน
4. การจำแนก
ลักษณะของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
1.การตอบสนองเกิดจากสิ่งเร้า หรือสิ่งเร้าเป็นตัวดึงการตอบสนองมา
2.การตอบสนองเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้จงใจ
3.ให้ตัวเสริมแรงก่อน แล้วผู้เรียนจึงจะตอบสนอง เช่น ให้ผงเนื้อก่อนจึงจะมีน้ำลายไหล
4.รางวัลหรือตัวเสริมแรงไม่มีความจำเป็นต่อการวางเงื่อนไข
5.ไม่ต้องทำอะไรกับผู้เรียน เพียงแต่คอยจนกระทั่งมีสิ่งเร้ามากระตุ้นจึงจะเกิดพฤติกรรม
6.เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาสะท้อนและอารมณ์ ซึ่งมีระบบประสาทอัตโนมัติเข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
เขียนโดย Unknown ที่ 09:36 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
 
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม
บันดูรา
 
 
 การเรียนรู้โดยการสังเกต — Presentation Transcript
 
 
 
 
 
 
 
 
  • 1. การเรีย นรู้โ ดยการสัง เกตหรือ เลีย นแบบ ศาสตราจารย์บ น ดูร า ั
  • 2. ประวัต ิโ ดยสัง เขป• ของอัล เบิร ์ต บัน ดูร า (Albert Bandura) » นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ให้ความสนใจงานที่ เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม » อัลเบิร์ต แบนดูราเกิดที่เมืองอัลเบอร์ตา ประเทศ แคนาดา » ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และได้รับปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ทางจิตวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยไอโอวา » ทำางานภาควิชาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟ อร์ด
  • 3. การทดลอง• การทดลองอันแรกโดย บันดูรา ร็อส และร็อส (Bandural, Ross&Roos, 1961) เป็นการ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยการสังเกต บันดูรา และผูร่วมงานได้แบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่ม ้ หนึงให้เห็นตัวอย่างจากตัวแบบที่มีชวิต แสดง ่ ี พฤติกรรมก้าวร้าว เด็กกลุ่มที่สองมีตัวแบบที่ไม่ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และเด็กกลุ่มที่สามไม่มี ตัวแบบแสดงพฤติกรรมให้ดูเป็นตัวอย่าง
  • 4. • ในกลุ่มมีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว การ ทดลองเริ่มด้วยเด็กและตัวแบบเล่นตุ๊กตา (Tinker Toys) สักครู่หนึ่งประมาณ 1 – 10 นาที ตัวแบบลุกขึ้นต่อย เตะ ทุบ ตุ๊กตาที่ทำาด้วย ยางแล้วเป่าลม ฉะนันตุ๊กตาจึงทนการเตะต่อย ้ หรือแม้ว่าจะนั่งทับหรือยืนก็ไม่แตก สำาหรับเด็ก กลุ่มที่สอง เด็กเล่นตุ๊กตาใกล้ ๆ กับตัวแบบ แต่ ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวให้ดูเป็น ตัวอย่าง เด็กกลุ่มที่สามเล่นตุ๊กตาโดยไม่มีตัว แบบ
  • 5. • หลังจากเล่นตุ๊กตาแล้วแม้ผทดลองพาเด็กไปดู ู้ ห้องที่มีตุ๊กตาที่น่าเล่นมากกว่า แต่บอกว่าห้าม จับตุ๊กตา เพื่อจะให้เด็กรู้สกคับข้องใจ เสร็จแล้ว ึ นำาเด็กไปอีกห้องหนึ่งทีละคน ซึ่งมีตุ๊กตาหลาย ชนิดวางอยู่และมีตุ๊กตายางที่เหมือนกับตุ๊กตาที่ ตัวแบบเตะต่อยและทุบรวมอยู่ด้วย
  • 6. ผลการทดลอง• พบว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีตัวแบบแสดง พฤติกรรมก้าวร้าวจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เตะต่อยทุบ รวมทั้งนั่งทับตุ๊กตายางเหมือนกับที่ สังเกตจากตัวแบบแสดงและค่าเฉลี่ย (Mean) ของพฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงโดยเด็กกลุ่มนี้ ทั้งหมดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมก้าวร้าว ของเด็กกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สาม
  • 7. การทดลองที่สอง• วิธีการทดลองเหมือนกับการทดลองที่หนึงแต่ใช้ ่ ภาพยนตร์แทนของจริง โดยกลุ่มหนึ่งดู ภาพยนตร์ที่ตัวแบบ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว อีก กลุ่มหนึ่งดูภาพยนตร์ที่ตัวแบบไม่แสดง พฤติกรรมก้าวร้าว ผลของการทดลองที่ได้ เหมือนกับการทดลองที่หนึ่ง คือ เด็กที่ดู ภาพยนตร์ที่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากกว่าเด็กที่อยู่ใน กลุ่มที่ดูภาพยนตร์ที่ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมที่ ก้าวร้าว
  • 8. การทดลอง• บันดูรา และเม็นลอฟได้ศึกษาเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งมี ความกลัวสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข จนกระทั่ง พยายามหลีกเลี่ยงหรือไม่มปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ ี เลี้ยง บันดูราและเม็นลอฟได้ให้เด็กกลุ่มหนึ่งที่มี ความกลัวสุนัขได้สงเกตตัวแบบที่ไม่กลัวสุนัข ั และสามารถจะเล่นกับสุนัขได้อย่างสนุก โดยเริ่ม จากการค่อย ๆ ให้ตัวแบบเล่น แตะ และพูดกับ สุนัขที่อยู่ในกรงจนกระทั่งในที่สุดตัวแบบเข้าไป อยู่ในกรงสุนัข
  • 9. ผลของการทดลอง• ปรากฏว่าหลังจากสังเกตตัวแบบที่ไม่กลัวสุนัข เด็กจะกล้าเล่นกับสุนัขโดยไม่กลัว หรือ พฤติกรรมของเด็กที่กล้าที่จะเล่นกับสุนัขเพิ่มขึ้น และพฤติกรรมที่แสดงว่ากลัวสุนัขจะลดน้อยไป
  • 10. สาระสำาคัญ• แนวคิดพืนฐาน ้• 1. บันดูรามีทศนะว่า พฤติกรรม (behavior หรือ B) ั ของมนุษย์มปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยหลักอีก 2 ปัจจัย คือ ี 1) ปัจจัยทางปัญญาและปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ ( Personal Factor ) 2) อิทธิพลของสภาพ แวดล้อม ( Environmental Influences )• 2. บันดูราได้ให้ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ (Learning) กับการกระทำา(Performance)ซึ่งสำาคัญ มาก เพราะคนเราอาจจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่ จำาเป็นต้องแสดงออกทุกอย่าง เช่นเราอาจจะเรียนรู้วิธี การ ทุจริตในการสอบว่าต้องทำาอย่างไรบ้าง แต่ถึง เวลาสอบจริงเราอาจจะไม่ทจริตก็ได้ หรือเราเรียนรู้ ุ ว่าการพูดจาและแสดงกริยาอ่อนหวาน กับพ่อ แม่เป็น
  • 11. • 3. บันดูราเชือว่าการเรียนรู้ของมนุษย์สวนมาก ่ ่ เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำาหรับตัวแบบไม่จำาเป็นต้องเป็น ตัวแบบที่มีชวิตเท่านั้น แต่อาจจะ เป็นตัวแบบ ี สัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็น รูปภาพ การ์ตูน หนังสือ นอกจากนี้ คำาบอกเล่า ด้วยคำาพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์- อักษรก็เป็นตัวแบบได้
  • 12. • บันดูรา (Bandura, 1977) ได้อธิบายกระบวนการที่ สำาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้โดย ตัวแบบว่ามีทงหมด 4 อย่างคือ ั้ 1. ผู้เรียนจะต้องมีความใส่ใจ (Attention) ทีจะสังเกต ่ ตัวแบบ ไม่ว่าเป็นการแสดงโดยตัวแบบจริงหรือตัวแบบ สัญลักษณ์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วยคำาพูดผู้เรียนก็ต้อง ตั้งใจฟังและถ้าจะต้องอ่านคำาอธิบายก็จะต้องมีความ ตั้งใจทีจะอ่าน ่• 2. ผู้เรียนจะต้องเข้ารหัสหรือบันทึกสิ่งทีสังเกตหรือสิ่งที่ ่ รับรู้ไว้ในความจำาระยะยาว• 3. ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสแสดงพฤติกรรมเหมือนตัว แบบ และควรจะทำาซำ้าเพื่อจะให้จำาได้• 4. ผู้เรียนจะต้องรู้จักประเมินพฤติกรรมของตนเองโดย ใช้เกณฑ์ (Criteria) ทีตั้งขึ้นด้วยตนเองหรือโดย ่
  • 13. สรุป• การเรียนรู้พฤติกรรมสำาคัญต่าง ๆ ทังที่เสริมสร้างสังคม ้ (Prosocial Behavior) และพฤติกรรมทีเป็นภัยต่อ ่ สังคม (Antisocial Behavior) ได้เน้นความสำาคัญ ของการเรียนรู้แบบการสังเกตหรือเลียนแบบจากตัว แบบ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทงตัวบุคคลจริง ๆ เช่น ครู เพือน ั้ ่ หรือจากภาพยนตร์โทรทัศน์ การ์ตูน หรือจากการอ่าน จากหนังสือได้ การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วย 2 ขั้น คือ ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการ ทางพุทธิปัญญา และขั้นการกระทำา ตัวแบบทีมอิทธิพล ่ ี ต่อพฤติกรรมของบุคคลมีทงตัวแบบในชีวิตจริงและตัว ั้ แบบทีเป็นสัญญลักษณ์ เพราะฉะนันพฤติกรรมของ ่ ้ ผู้ใหญ่ในครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษา และ
  • 14. การประยุกต์ใช้• 1. ตั้งวัตถุประสงค์ทจะทำาให้นกเรียนแสดงพฤติกรรม ี่ ั หรือเขียนวัตถุประสงค์เป็นเชิงพฤติกรรม 2. ผู้สอนแสดงตัวอย่างของการกระทำาหลายๆตัวอย่าง ซึงอาจจะเป็น คน การ์ตูน ภาพยนตร์ วิดีโอ โทรทัศน์ ่ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ 3. ผู้สอนให้คำาอธิบายควบคู่ไปกับการให้ตัวอย่างแต่ละ ครั้ง 4. ชี้แนะขั้นตอนการเรียนรู้โดยการสังเกตแก่นักเรียน เช่น แนะให้นักเรียนสนใจสิ่งเร้าที่ควรจะใส่ใจหรือ เลือกใส่ใจ 5.จัดให้นักเรียนมีโอกาสทีจะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัว ่ แบบ เพือจะได้ดว่านักเรียนสามารถที่จะกระทำาโดยการ ่ ู เลียนแบบหรือไม่ ถ้านักเรียนทำาได้ไม่ถูกต้องอาจจะ ต้องแก้ไขวิธีการสอนหรืออาจจะแก้ไขทีตัวผู้เรียนเอง ่ 6.ให้แรงเสริมแก่นกเรียนที่สามารถเลียนแบบได้ถก ั ู
  • 15. ตัวอย่าง• การเรียนรู้โดยการดูตัวแบบก็แสดงให้เห็นว่า การลงโทษหรือการเสริมแรงสามารถส่งผลต่อ สถานการณ์ของการเลียนแบบ เด็กจะพร้อม เลียนแบบผูที่ได้รับรางวัลมากกว่าผูที่ถูกลงโทษ ้ ้ ดังนั้น เด็กเรียนรู้ได้โดยที่ตนเองไม่ต้องได้รับ รางวัลหรือการลงโทษ
เขียนโดย Unknown ที่ 09:24 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
 
 
ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ออซูเบล
 
 
1. ออซูเบล (Ausubel , David 1963) เป็นนักจิตวิทยาแนวปัญญานิยม
ทฤษฎีของออซูเบลเป็นทฤษฎีที่หาหลักการอธิบายการเรียนรู้ที่เรียกว่า "Meaningful Verbal Learning" โดยเฉพาะ การเชื่อมโยงความรู้ที่ปรากฎในหนังสือที่โรงเรียนใช้กับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียน ในโครงสร้างสติปัญญา(Cognitive Structure) หรือการสอนโดยวิธีการให้ข้อมูลข่าวสาร ด้วยถ้อยคำทฤษฎีของออซูเบล เน้นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีความเข้าใจทฤษฎีของออซูเบลบางครั้งเรียกว่า "Subsumption Theory"
2. ทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญา (Cognitivism)
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 นักทฤษฎีการเรียนรู้เริ่มตระหนักว่า การที่จะเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องผ่านการพิจารณา ไตร่ตรอง การคิด (Thinking) เช่นเดียวกับพฤติกรรม และควรเริ่มสร้างแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ในทรรศนะของ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิด(Mental change) มากกว่าการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ดังนั้นจึงมี การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากความสนใจเกี่ยวกับสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
3. กลุ่มพุทธิปัญญา (Cognitivism)
กลุ่มพุทธิปัญญา ให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด การให้เหตุผลของผู้เรียน ซึ่งแตกต่างจากทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่มุ่งเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้เท่านั้น โดยมิได้สนใจกับกระบวนการคิดหรือกิจกรรมทางสติปัญญาของมนุษย์
4. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย
คือ ผู้เรียนได้เชื่อมโยง (Subsumme) สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่ กับความรู้เดิมที่มีมาก่อนที่มีในโครงสร้างในสติปัญญาของผู้เรียนมาแล้ว
ออซูเบลให้ความหมายการเรียนรู้อย่างมีความหมาย( Mearningful learning) ว่า เป็นการเรียนที่ผู้เรียนได้รับมาจากการที่ผู้สอน อธิบายสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ให้ทราบและผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่เรียนรู้กับโครงสร้างพุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต ออซูเบลได้ชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับพุทธิปัญญา
5. ประเภทของการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย
1. Subordinate learning
1.1 Deriveration Subsumption
เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่กับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคยเรียนมาแล้ว โดยการได้รับข้อมูลมาเพิ่ม เช่น มีคนบอก
1.2 Correlative subsumption
เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายเกิดจากการขยายความ หรือปรับโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีมาก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะเรียนรู้ใหม่
2. Superordinate learning
เป็นการเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนใหม่เข้ากับความคิดรวบยอดที่กว้างและครอบคลุมความคิดยอดของสิ่งที่เรียนใหม่
3. Combinatorial learning
เป็นการเรียนรู้หลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆเชิงผสม ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ โดยการใช้เหตุผล หรือการสังเกต
6. เทคนิคการสอน
ออซูเบลได้เสนอแนะเกี่ยวกับ Advance organizer เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายจากการสอนหรือบรรยายของครู โดยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความรู้ที่มีมาก่อนกับข้อมูลใหม่ หรือความคิดรวบยอดใหม่ ที่จะต้องเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่ไม่ต้องท่องจำ หลักการทั่วไปที่นำมาใช้ คือ
- การจัด เรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่
- นำเสนอกรอบ หลักการกว้างๆ ก่อนที่จะให้เรียนรู้ในเรื่องใหม่
- แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญ
7. สรุปได้ว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Mearningful learning)
ออซูเบล เป็นทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญา เน้นความสำคัญของผู้เรียน ออซูเบลจะสนับสนุนทั้ง Discovery และ Expository technique ซึ่งเป็นการสอนที่ครูให้หลักเกณฑ์ และผลลัพธ์ ออซูเบลมีความเห็นว่าสำหรับเด็กโต (อายุเกิน11หรือ 12 ปี)นั้น การจัดการเรียนการสอนแบบ Expository technique น่าจะเหมาะสมกว่าเพราะเด็กวัยนี้สามารถเข้าใจเรื่องราว คำอธิบายต่างๆได้
เขียนโดย Unknown ที่ 09:18 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
ทฤษฎีงานพัฒนาการตามวัย
ฮาวิกเฮิร์ส
 
 
 
ทฤษฎีพัฒนาการตามวัยของโรเบิร์ต เจ. ฮาวิกเฮิร์ส ( Havighurst’s Theory of Development task )
แนวคิดของโรเบิร์ต เจ. ฮาวิกเฮิร์ส
ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ฮาวิกเฮิร์ส (Robert havighurst 1953-1972) ได้ให้ชื่อว่า งานที่มนุษย์ทุกคนจะต้องทำตามวัยว่า “ งานพัฒนาการ ” หมายถึง งานที่ทุกคนจะต้องทำในแต่ละวัยของชีวิต สัมฤทธิ์ผลของงานพัฒนาการของงานแต่ละวัย มีความสำคัญมากเพราะเป็นของการเรียนรู้งานพัฒนาขั้นต่อไป
ตัวแปรที่สำคัญในการพัฒนามี 3 อย่าง
1. วุฒิภาวะทางร่างกาย
2. ความมุ่งหวังของสังคมและกลุ่มที่แต่ละบุคคลเป็นสมาชิกอยู่
3. ค่านิยม แรงจูงใจ ความมุ่งหวังส่วนตัวและความทะเยอทะยานของแต่ละบุคคล
3.1 ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Natural Readiness Approach)
3.2 ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น (Guided Experience Approach)
การแบ่งพัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ คือ
1. พัฒนาการทางกาย เป็นการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามขั้นตอนในแต่ละวัน
2. พัฒนาการทางด้านความคิดหรือสติปัญญา (Cognitive Development) ของเพียเจท์
3. พัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งแบ่งย่อยเป็น
3.1 พัฒนาการทางด้านจิตใจ-เพศ (Psychosexual Development) ของฟรอยด์ (Freud)
3.2 พัฒนาการทางด้านจิตใจ-สังคม (Psychosocial Development) ของอีริคสัน (Erikson)
4. พัฒนาการด้านจริยธรรม (Moral Development) ของโคลเบริ์ก (Kohlberg)

พัฒนาการตามวัย
ตามแนวความคิดของฮาวิคเฮอร์ท (Hovighurst) ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ออกเป็นวัยต่างๆได้ดังนี้
1. วัยเด็กเล็ก-วัยเด็กตอนต้น (แรกเกิด- 6 ปี)
2. วัยเด็กตอนกลาง (6-18 ปี)
3. วัยรุ่น (12-18 ปี)
4. วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (18-35 ปี)
5. วัยกลางคน (35-60 ปี)
6. วัยชรา (อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)
หลักพัฒนาการแนวคิด
- สามารถที่จะแสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะสมกับเพศของตน
- เลือกและเตรียมตัวที่จะเลือกอาชีพในอนาคต
- พัฒนาทักษะทางเชาว์ปัญญาและความคิดรวบยอดต่างๆที่จำเป็นสำหรับสมาชิกของชุมชนที่มีสมรรถภาพ
- มีความต้องการที่จะแสดงพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
การนำไปประยุกต์ใช้
สามารถสังเกตพัฒนาการต่างๆของเพื่อนๆและคนรอบข้าง เพื่อให้รู้จักนิสัยใจคอมากขึ้น และใช้เทคโนโลยี สารสนเทศที่เกี่ยวทางการศึกษาและการสืบค้นหรืออื่นๆได้
เขียนโดย Unknown ที่ 09:10 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

Original havighurst — Presentation Transcript

 
  • 1. ทฤษฎีพัฒนาการของโร เบิรต ฮาวิกเฮิรส    
  • 2. แนวคิด ทฤษฎีพัฒนาการของฮาวิกเฮิร์สได้รับ แนวความคิดจาก อีริคสันเกี่ยวกับ พัฒนาการแต่ละช่วงวัยของบุคคล  ฮาวิกเฮิร์ส กล่าวว่าพัฒนาการใน แต่ละวัยมีความสำาคัญมาก เพราะจะ เป็นรากฐานของการเรียนรู้งานพัฒนา ขั้นต่อไป โดยงานพัฒนาการเริ่มตังแต่ ้ แรกของชีวต ิ
  • 3. พัฒนาการแต่ละวัย ฮาวิกเฮิร์สต์ (Havighurst, 1972)ได้ แบ่งการพัฒนาการในแต่ละวัยออกเป็น 6 ช่วงวัยคือ  วัยทารกและวัยเด็กตอนต้น  วัยเด็กตอนกลาง  วัยรุ่น  วัยผู้ใหญ่ตอนต้น  วัยกลางคน  วัยสูงอายุ
  • 4. วัยทารกและวัยเด็กตอนต้น(infancy and early childhood) วัยเด็กเล็กและวัยเด็กตอนต้น (แรกเกิด-6 ปี) งานที่สำาคัญดังนี้  เรียนรู้ทางร่างกาย เช่น ยกศีรษะ คลาน ทรงตัว เดิน เป็นต้น  เรียนรู้ในการรับประทานอาหารอื่นๆ นอกเหนือไปจากนม  เรียนรู้การพูดหรือใช้ภาษาสือความ ่ หมาย 
  • 5. วัยเด็กตอนกลาง (middle childhood) วัยเด็กตอนกลาง (อายุ 6-12 ปี) งานที่ สำาคัญมีคือ  เรียนรู้ที่จะใช้ทักษะทางร่างกายที่จำาเป็น สำาหรับการเล่นเกม  เรียนรู้บทบาททางสังคมสำาหรับเพศชาย และเพศหญิง  พัฒนาความคิดรวบยอดที่จำาเป็นสำาหรับ ชีวิตประจำาวัน  เรียนรู้ในการปรับตัวให้เข้ากับเพือนร่วม ่
  • 6. วัยรุ่น (adolescence) วัยรุ่น (12-18 ปี) งานที่สำาคัญดังนี้  พัฒนาทักษะทางเชาวน์ปญญาและความ ั คิดรวบยอด  สมาชิกของชุมชนที่มีสมรรถภาพ  สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพือนร่วม ่ วัย ทั้งเพศชายและเพศหญิง  ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและ สามารถปรับตัวได้  เลือกและเตรียมตัวที่จะเลือกอาชีพใน
  • 7. วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (young adulthood) วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (18-35 ปี) วัยนี้มี ลักษณะสำาคัญดังนี้  เริ่มการประกอบอาชีพ  เริ่มสร้างครอบครัว  เรียนรู้ที่จะมีชีวิตร่วมกับคู่ครอง (สามี หรือภริยา)  รู้จักจัดการภารกิจในครอบครัว  เริ่มมีความรับผิดชอบในฐานะเป็น
  • 8. วัยกลางคน (middle adulthood) วัยกลางคน (35-60 ปี) งานที่สำาคัญในวัย นี้คอ ื  มีความรับผิดชอบต่อสังคม  มีความพยายามสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว  รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ได้มาก ขึ้น  สามารถปรับตัวและทำาความเข้าใจคูชีวิต่
  • 9. วัยสูงอายุ (old age) วัยชรา (60 ปีขึ้นไป) วัยนีมีงานสำาคัญ ้ ดังนี้  สามารถปรับตัวได้กบสภาพที่เสือม ั ่ ถอยลง  สามารถปรับตัวได้กบการเกษียณ ั อายุการทำางาน  สามารถปรับตัวได้กบการตายจาก ั ของคูครอง ่
  • 10. การนำาไปใช้ งานพัฒนาการของฮาวิกเฮิร์สนีมี ้ ผู้นำาไปประยุกต์ใช้ในวงการศึกษา มาก โดยเฉพาะในระดับอนุบาลประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เพราะทำาให้ครูทราบว่าเด็กในวัยต่างๆ นัน้ ทำาอะไรได้บ้าง จะจัดการเรียนรู้อย่างไรให้สนองความพร้อมของเด็ก เมือครูทราบว่าเด็กวัยนั้นๆ ควรทำา ่อะไรได้บาง สิงเหล่านีมีความจำาเป็น ้ ่ ้
  • 11. แนวคิดของฮาวิกเฮิร์ส  ระดับอนุบาล มีความคิดรวบยอดง่ายๆ เกียวกับความ ่ จริงทางสังคมและทางกายภาพ  เรียนรู้ทจะสร้างความผูกพันระหว่าง ี่ ตนเองกับพ่อแม่พนองตลอดจนคนอื่นๆ ี่ ้  เรียนรู้ทจะมองเห็นความแตกต่าง ี่ ระหว่างสิงทีผิดทีถก และเริ่มพัฒนา ่ ่ ่ ู ทางจริยธรรม
  • 12. แนวคิดของฮาวิกเฮิร์ส  ระดับประถมศึกษา  เรียนรู้ทจะใช้ทกษะทางด้านร่างกาย ี่ ั ในการเล่น สร้างเจตคติตอตนเองในฐานะทีเป็นสิง ่ ่ ่ มีชวต ี ิ  เรียนรู้ทจะปรับตัวเข้ากับเพือนรุ่น ี่ ่ เดียวกัน เรียนรู้บทบาทที่เหมาะสมของเพศหญิง
  • 13. แนวคิดของฮาวิกเฮิร์ส  ระดับประถมศึกษา (ต่อ) พัฒนาเกียวกับศีลธรรมจรรยาและค่า ่ นิยม  สามารถพึงพาตนเองได้ ่  พัฒนาเจตคติตอกลุมสังคมและต่อ ่ ่ สถาบันต่างๆ
  • 14. แนวคิดของฮาวิกเฮิร์ส  ระดับมัธยมศึกษา  สามารถสร้างความสัมพันธ์อนดีและ ั เหมาะสมกับเพือนในราวคราวเดียกัน ่ แสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะสมกับ เพศของตน  ยอมรับสภาพร่างกายตนเอง  รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
  • 15. แนวคิดของฮาวิกเฮิร์ส  ระดับมัธยมศึกษา (ต่อ)  มีการเตรียมตัวเพือการแต่งงานและ ่ การมีครอบครัว  เริ่มเตรียมตัวทีจะเป็นพลเมืองดี ่ มีความต้องการและรู้จักพัฒนาตนเอง ให้มีความรับผิดชอบ  มีความเข้าใจในเรื่องค่านิยม
เขียนโดย Unknown ที่ 09:03 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์


 
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์
(Thorndike’s Connectionism Theory)
เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ (Edward Lee Thomdike) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกา เกิด วันที่ 31สิงหาคม ค.ศ.1814ที่เมืองวิลเลี่ยมเบอรี่ รัฐแมซซาชูเสท และสิ้นชีวิตวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1949 ที่เมืองมอนท์โร รัฐนิวยอร์ค
ประวัติของธอร์นไดค์
หลักการเรียนรู้ ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง กล่าวถึง การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยมีหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มักจะออกมาในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผิด จนกว่าจะพบรูปแบบที่ดีและเหมาะสมที่สุด
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
...ธอร์นไดค์ เขาได้เริ่มการทดลองเมื่อปี ค.ศ.1898 เกี่ยวกับการใช้หีบกล( Puzzie-box) เขาทดลองการเรียนรู้จนมีชื่อเสียง
การทดลองใช้หีบกล
 
การทดลอง ในการทดลอง ธอร์นไดค์ได้นำแมวไปขังไว้ในกรงที่สร้างขึ้น แล้วนำปลาไปวางล่อไวนอกกรงให้ห่างพอประมาณ โดยให้แมวไม่สามารถยื่นเท้าไปเขี่ยได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อจะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของมันไปเหยียบถูกคานไม้โดยบังเอิญ ทำให้ประตูเปิดออก หลังจาก นั้นแมวก็ใช้เวลาในการเปิดกรงได้เร็วขึ้น
จากการทดลอง ธอร์นไดค์อธิบายว่า การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นการตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า แมวเกิดการสร้างพันธะหรือตัวเชื่อมขึ้นระหว่างคานไม้กับการกดคานไม้
1.กฎแห่งความพร้อม(law of readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ 2.กฎแห่งการฝึกหัด (low of exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำให้การเรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้
กฎการเรียนรู้
3.กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (law of effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้น การได้รับผลที่พึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้
การประยุกต์ทฤษฎีของธอร์นไดค์ 1.ธอร์นไดค์ในฐานะนักจิตวิทยาการศึกษา เข้าได้ให้ความสนใจในปัญหาการปรับปรุงการเรียนการสอนของนักเรียนในโรงเรียน เขาเน้นว่า นักเรียนต้องให้ความสนใจในสิ่งที่เรียน ความสนใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อครูจัดเนื้อหาที่ผู้เรียนมองเห็นว่ามีความสำคัญต่อตัวเขา
2. ครูควรจะสอนเด็กเมื่อเด็กมีความพร้อมที่เรียน ผู้เรียนต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเรียนและไม่ตกอยู่ในสภาวะบางอย่าง เช่น เหนื่อย ง่วงนอน เป็นต้น 3. ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนและทดทวนในสิ่งที่เรียนไปแล้วในเวลาอันเหมาะสม 4. ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้รับความพึ่งพอใจและประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจต่อตัวเองในการทำกิจกรรมต่อไป
เขียนโดย Unknown ที่ 08:52 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์


(Gestalt Psychology)
กลุ่มนี้ได้ชื่อว่า กลุ่มจิตวิทยาส่วนร่วม
คำว่า“Gestalt” หมายถึง ส่วนรวมทั้งหมดหรือโครงสร้างทั้งหมด ซึ้งเป็นคำที่มาจาก ภาษาเยอรมัน
☺ ทฤษฏีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ เป็นแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ เกิดขึ้นในระยะใกล้เคียงกับพฤติกรรมนิยม ผู้นำกลุ่มได้แก่ แมกซ์เวอร์ไธเมอร์ และผู้ร่วมกลุ่ม2 คน เคอร์ท คอฟพ์กา และวอล์ฟแกง โคเลอร์ เป็นชาวเยอรมัน
อ่านเพิ่มเติม »
เขียนโดย Unknown ที่ 08:43 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
ทฤษฎีจิตสังคมของ อิริคสัน
 
 

อีริคสัน เป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฎีขึ้นในแนวทางความคิดของฟรอยด์ แต่ได้เนินความสำคัญทางด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจ (Psychological Environment) ว่ามีบทบาทในพัฒนาการบุคลิกภาพมาก ความคิดของอีริคสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่า เห็นความสำคัญของ Ego มากกว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทฤษฎีจิตสังคม (Psychological Theory) ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ

ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust)
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก อีริควันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้ ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก ถึงเวลาให้นมก็ควรจะให้และปลดเปลื้องความเดือดร้อน ไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง (Autonomous vs Shame and Doubt)
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายการช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt)
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเอง จากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่
ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย (Industry vs Inferiority)
อีริคสันใช้คำว่า Industry กับเด็กอายุประมาณ 6-12 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและทางด้านร่างกาย อยู่ในขั้นที่มีความต้องการที่จะอะไรอยู่เมือไม่เคยว่าง
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม (Ego Identity vs Role Confusion)
อีริคสันกล่าวว่า เด็กในวัยนี้ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะรู้สึกตนเองว่า มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งหญิงและชาย เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศและบางคนเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy vs Isolation) วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น (Young Adulthood)
เป็นวัยที่ทั้งชายและหญิงเริ่มที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร เป็นวัยที่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน รวมทั้งสามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจที่จะแต่งงานมีบ้านของตนเอง
ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง (Generativity vs Stagnation)
อีริควันอธิบายคำว่า Generativity ว่าเป็นวัยที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วไป หรือเป็นห่วงเยาวชนรุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนที่ไม่แต่งงาน ถ้าเป็นครูก็สอนลูกศิษย์ ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทำงานทางด้านศาสนา เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนรุ่นหลังเป็นคนดีต่อไป
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง (Ego Integrity vs Despair)
วัยนี้เป็นระยะบั้นปลายของชีวิต ฉะนั้น บุคลิกภาพของคนวัยนี้มักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา ผู้มีอาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทำดีที่สุด ยอมรับว่าตอนนี้แก่แล้วและจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิตของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย ยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย




เขียนโดย Unknown ที่ 08:34 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของบี.เอฟ.สกินเนอร์

บี.เอฟ.สกินเนอร์

“ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ ”
ประวัติ บี.เอฟ.สกินเนอร์
“ สกินเนอร์ Skinnor ”
- เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1940 ที่ มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
-จบปริญญาตรี ทางวรรณคดี ในอังกฤษ
-เข้าศึกษาต่อสาขาจิตวิทยา ระดับปริญญาโทและเอก ณ มหาวิทยาลัย ฮาร์ดเวิร์ด ปี ค.ศ.1982 วิชาเอกพฤติกรรมศาสตร์
 
การทดลองของสกินเนอร์
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ มีชื่อเรียกต่างๆ คือ
-Operant Conditioning theory
-Instrumental Conditioning theory
-Type-R. Conditioning
สกินเนอร์ มีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่า
สกินเนอร์ ได้เสนอความคิดโดยจำแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type S
-มีสิ่งเร้าเป็นตัวกำหนดหรือดึงออกมา
2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type R
-พฤติกรรมหรือการตอบสนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง
พฤติกรรมมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นก่อน>พฤติกรรม>ผลที่ได้รับ
A > B > C
Skinner ได้สร้างกล่องขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า Skinner Box กล่องนี่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมมีคานหรือลิ้นบังคับให้อาหารตกลงมาในจาน เหนือคานจะมีหลอดไฟติดอยู่ เมื่อกดคานไฟจะสว่างและอาหารจะหล่นลงมา Skinner Box นำนกไปใส่ไว้ในกล่อง และโดยบังเอิญนกเคลื่อนไหวไปถูกคานอาหารก็หล่นลงมา
การเสริมแรง(Reinforcement)คือ การทำให้ผู้ทำพฤติกรรมเกิดความพึงพอใจเมื่อทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งแล้ว เพื่อให้ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ
การเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.การเสริมแรงทางบวก(Positive Reinforcement )
2.การเสริมแรงทางลบ(Negative Reinforcement)
การเสริมแรงแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.การเสริมแรงอย่างต่อเนื่อง(Continuous Reinforcement)
2.การเสริมแรงเป็นครั้งคราว(IntermittentReinforcement)
การกำหนดการเสริมแรงตามเวลา(Iinterval schedule)
1.กำหนดเวลาที่แน่นอน(Fixed Interval Schedules )
2.กำหนดเวลาที่ไม่แน่นอน(Variable Interval Schedules )
กำหนดการเสริมแรงโดยใช้อัตรา(Ratio schedule)
1.กำหนดอัตราที่แน่นอน(Fixed Ratio Schedules )
2.กำหนดอัตราที่ไม่แน่นอน(Variable Ratio Schedules )
ตัวอย่างตารางการให้การเสริมแรง
ตารางการเสริมแรง
ลักษณะ
ตัวอย่าง
การเสริมแรงทุกครั้ง
(Continuous)
เป็นการเสริมแรงทุกครั้งที่
แสดงพฤติกรรม
ทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์แล้ว
เห็นภาพ
การเสริมแรงความช่วงเวลาที่
แน่นอน (Fixed - Interval)
ให้การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
กำหนด
ทุก ๆ สัปดาห์ผู้สอนจะทำ
การทดสอบ
การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
ไม่แน่นอน
(Variable - Interval)
ให้การเสริมแรงตามระยะเวลา
ที่ไม่แน่นอน
ผู้สอนสุ่มทดสอบตามช่วงเวลา
ที่ต้องการ
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่แน่นอน
(Fixed - Ratio)
ให้การเสริมแรงโดยดูจาก
จำนวนครั้งของการตอบสนอง
ที่ถูกต้องด้วยอัตราที่แน่นอน
การจ่ายค่าแรงตามจำนวน
ครั้งที่ขายของได้
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่ไม่แน่นอน
(Variable - Ratio)
ให้การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองแบบไม่แน่นอน
การได้รับรางวัลจากเครื่อง
เล่นสล๊อตมาชีน

การลงโทษ คือ การทำให้อัตราการตอบสนองหรือความถี่ของพฤติกรรมลดลง การลงโทษมี 2 ทางได้แก่
1.การลงโทษทางบวก(Positive Punishment)
2.การลงโทษทางลบ(Negative Punishment)
ตารางเปรียบเทียบการเสริมแรงและการลงโทษ ได้ดังนี้
พฤติกรรม
การเสริมแรง
เพิ่มพฤติกรรม ก่อให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมนั้นบ่อยขึ้น
พฤติกรรม
การลงโทษ
ลดพฤติกรรม ก่อให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมนั้นน้อยลง

การนำทฤษฎีการเรียนรู้ของ สกินเนอร์ ไปใช้ในการจัดการศึกษาปฐมวัย
1. การใช้เสริมแรง
2. การปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่างและการลดพฤติกรรมบางอย่าง
3. บทเรียนแบบโปรแกรม และเครื่องช่วยสอน
สรุปแนวคิดที่สำคัญของ สกินเนอร์ Skinner
“สกินเนอร์” ได้กล่าวไว้ว่า “ การเสริมแรงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้บุคลแสดงพฤติกรรมซ้ำ และพฤติกรรมของบุคคลส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมแบบเรียนรู้ปฏิบัติและพยายามเน้นว่า การตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆของบุคคล สิ่งเร้านั้นจะต้องมีสิ่งเสริมแรงอยู่ในตัว หากลดสิ่งเสริมแรงลงเมื่อใด การตอบสนองจะลดลงเมื่อนั้น ’’
 

เขียนโดย Unknown ที่ 08:19 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

คลังบทความของบล็อก

  • ▼  2012 (15)
    • ▼  ตุลาคม (14)
      • ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค พาฟลอฟ     ทฤ...
      •   ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม บันดูรา      กา...
      •     ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ออซูเบล  ...
      • ทฤษฎีงานพัฒนาการตามวัย ฮาวิกเฮิร์ส       ท...
      • Original havighurst — Presentation Transcript   ...
      • ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์   ทฤษฎีการเ...
      • จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)
      • ทฤษฎีจิตสังคมของ อิริคสัน     อีริคสัน เป็นล...
      • ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของบี.เอฟ.สกินเนอร์...
      • ทฤษฎีพัฒนาการของอีรีคสัน ทฤษฎีพัฒนาการของ อิ...
      • ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม ลอเรนส์ โคลเบิร์ก (Law...
      • <!--3 comments--> ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์   ท...
      • ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ Sigmund Freud ...
      •   ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์     ...
    • ►  กรกฎาคม (1)

เกี่ยวกับฉัน

Unknown
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
ลายน้ำ ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.